เทศน์เช้า

ดอกไม้กระดาษ

๑๑ พ.ย. ๒๕๔๒

 

ดอกไม้กระดาษ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ดอกไม้ ถ้าเป็นดอกไม้ปกติดอกไม้ธรรมดานี่ เยอะแยะเลย ตั้งไว้มันก็สวยงามมากเลย แล้วพอมีดอกไม้กระดาษมา พอมาตั้งเข้าไปมันสวยกว่าอีก แต่มันสวยกว่าเพราะมันดีกว่า แล้วคนก็เข้าใจ ดอกไม้ธรรมชาติมันเจริญเติบโตงอกงามตามธรรมชาติของมัน แล้วมันก็ต้องเสื่อมสลายไป ชีวิตของมันก็อยู่ชั่วคราว มันเป็นไตรลักษณ์อยู่ในลักษณะ เห็นชัดๆ เลย สิ่งที่มีชีวิตมันเข้ากับนามธรรม

พอทางโลกว่ามันเป็นของที่ต้องเป็นภาระความรับผิดชอบสูง ก็ทำเป็นดอกไม้กระดาษมา นี่ดอกไม้กระดาษสวยกว่าอีก เป็นเงินเป็นทองเลย สวยกว่า แต่มันเป็นกระดาษ เห็นไหม มันใช้กระดาษเข้ามาแปะ ใช้วัตถุเข้ามาแปะ มันไม่มีชีวิต ไม่มีจิตใจ มันกระด้าง พอมันกระด้าง มันไม่มีชีวิต มันไม่มีจิตใจ แต่มันเก็บรักษาไว้เพราะมันไม่เสื่อมสลาย มันไม่เป็นไตรลักษณ์ให้เห็น นี่วัตถุนิยม

วัตถุกับนามธรรม ธรรมะคือนามธรรม หัวใจเท่านั้นถึงเป็นภาชนะใส่ธรรม ถึงต้องให้เป็นดอกไม้ธรรมชาติ มันเกิดเอง มันแก่เองโดยธรรมชาติ มันมีชีวิตอยู่ มันเจริญงอกงามขึ้นมาตามธรรมชาติ พระกัสสปะเป็นผู้ห่วงศาสนามาก ไปถามพระพุทธเจ้าว่า

“ทำอย่างไรศาสนาเราถึงจะเจริญอยู่มั่นคงต่อไป”

“กัสสปะ สัทธรรมปฏิรูปถ้ามีเมื่อไหร่ จะทำให้ศาสนาเราจะอ่อนแอลงไป”

เปรียบเหมือนกับเงิน ถ้าเงินมีแต่เงินแท้อยู่ เงินนี้จะมีคุณค่ามากเลย ถ้ามีเงินปลอมเข้ามา ทำให้คุณค่าของเงินนี้ต่ำลงๆ จนเงินปลอมอาจจะมีคุณค่าเหนือกว่าเงินจริงก็ได้ ถ้าคนไม่รู้จริง ดอกไม้กระดาษก็เหมือนกัน ดอกไม้กระดาษคนจะเห็นคุณค่าของมันมาก เพราะมันเก็บรักษาง่าย แล้วก็ทำแล้วถวาย นี่บูชาด้วยดอกไม้กระดาษหนเดียว แล้วก็ใช้ตลอดไปเลย แต่ถ้าบูชาด้วยดอกไม้ธรรมชาติ สองสามวันต้องเปลี่ยน เสียทั้งเงิน เสียทุกอย่าง แต่มันได้คุณธรรมในหัวใจขึ้นมาไง มันต้องเก็บรักษา มันจะทบเข้ามาให้เห็นว่าความแปรสภาพ ความเป็นไป เป็นภาระหน้าที่

ดอกไม้กระดาษ ดูสิ เอากระดาษมา กระดาษเงินกระดาษทองมาแปะเข้ากับก้าน เสร็จแล้วก็ปักไว้นี่ มันก็จะอยู่อย่างนั้นตลอดไป สัทธรรมปฏิรูป เห็นไหม คิดเอง นึกเอง มันคิดแล้วมันจินตนาการ สวยหรูกว่าของจริงอีกนะ ธรรมะคือธรรมชาติความจริง สวยหรูหมายถึงว่า สวยหรูในจินตนาการนะ สวยหรูในกรงขังของกิเลส สวยหรูอยู่ในความคิดของกิเลสไง กรงขังคือขันธ์ ๕ ความคิดในขันธ์ ๕ สัญชาตญาณ สัญญา จินตนาการแล้วแต่ มันเกิดขึ้นมา ปรุงแต่งขึ้นมาจากขันธ์ ๕ ทั้งนั้นเลย ขันธ์ ๕ นี่มันครอบคลุมจิตไว้ จิตถึงความคิดในกรงขังไง สวยหรูในกรงขัง เพราะมันสวยหรูในกรงขัง มันไม่เป็นธรรมชาติ มันไม่มีความเจริญงอกงามขึ้นมาแบบดอกไม้ธรรมชาติ มันไม่มีการงอกงามขึ้นมาแบบภาวนามยปัญญาไง

ธรรมแท้ๆ มันเกิดขึ้นมาจากทาน ทานนี่ วัตถุ เห็นไหม อามิสทานก็เป็นวัตถุเหมือนกัน มันก็เปรียบเหมือนดอกไม้กระดาษ ดอกไม้ธรรมชาติ ดอกไม้กระดาษ เห็นไหม ถ้าดอกไม้กระดาษนี่เป็นโลกเลย ถ้าเป็นทานเป็นเหมือนดอกไม้ธรรมชาติก็ได้ ดอกไม้จริงไง ดอกไม้จริงมันก็เป็นวัตถุเห็นไหม แต่มันก็เข้าถึง สะเทือนถึงใจเพราะเป็นนามธรรม

นี่ทาน ศีล ภาวนา สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา นักวิชาการกับนักวิชาการเข้ากัน คุยวิชาการกันไป อาจารย์หลวงปู่ฝั้นบอก “เวลาคุยกันน่ะ จนน้ำลายแตกฟอง” น้ำลายนี่แตกเลยนะ ธรรมะนะ ธมฺมสากจฺฉา ธรรมะหมากัดกัน เถียงกันจนน้ำลายแตกฟอง จนหน้าดำหน้าแดง ลงกันไม่ได้ นั่นน่ะ ไม่ใช่เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ นี่มันเป็นคำพูด มันเป็นจินตนาการอยู่ มันไม่เกิดเป็นภาวนามยปัญญา

ภาวนามยปัญญามันเกิดจากธรรมแท้ๆ ไง ธรรมแท้ๆ นี่เกิดจากใคร ธรรมแท้ๆ นี้ สุตมยปัญญาคือฟังจากครูบาอาจารย์มา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “เราเป็นผู้ชี้ทางเท่านั้น” พวกผู้ประพฤติปฏิบัติต้องฟื้นขึ้นมาเองจากใจของตัว นี่ภาวนามยปัญญาเกิดจากใจของตัวนะ ธรรมก็เกิดจากใจดวงนั้นไง ดวงที่จะมืดบอดอยู่นั่นต้องเกิดธรรมขึ้นมา แต่ธรรมอันนี้ต้องเกิดขึ้นมาเป็นภาวนามยปัญญา เป็นสิ่งมีชีวิต เจริญเติบโตขึ้นมาจากหัวใจ ปัญญามันเจริญเติบโตขึ้นมาจากสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา แล้วภาวนามยปัญญาไม่มี ภาวนามยปัญญานี้เป็นความคิด ไม่ใช่ความคิดในกรงขัง มันถึงพ้นเลยออกไปจากดอกไม้ ทั้งดอกไม้ธรรมชาติและดอกไม้กระดาษด้วย

ดอกไม้ธรรมชาติมันยังเห็นความเจริญงอกงามของมัน ของสิ่งมีชีวิต มันยังเข้าสะเทือนถึงใจได้ ดอกไม้กระดาษนี่มันเป็นวัตถุที่มันสะเทือนถึงใจไม่ได้ มันเป็นการที่ว่าชุบมือเปิบไง เอาง่ายๆ มาถึงมาปักไว้ แล้วก็จะเอาบุญตลอดไปๆ บุญขี้เกียจไม่มีหรอก พระพุทธเจ้าสอนให้ขยันหมั่นเพียร สอนให้ภาวนา สอนให้มีความเจริญงอกงาม ให้มีการประพฤติปฏิบัติไป แต่นี่เอาเปรียบไง กิเลสมันเห็นว่าเอาชนะ เอาง่าย เอาสะดวก เอาสิ่งที่ว่ามันไม่ต้องเปลี่ยนแปลงบ่อย ดอกไม้กระดาษเอาไปปักเลย

ความคิดก็เหมือนกัน ภาวนาให้ถึงที่สุดเถอะแล้วมันจะหยุดไปเอง ภาวนาไปนี่มันหลอกตัวเอง เห็นไหม ภาวนาไปถึงจุดหนึ่งก็เกาะติดไว้ มันต้องภาวนาต่อไป เกาะติดแล้วภาวนาต่อไป มันไม่เป็นไปตามความเป็นธรรม มันไม่เป็นภาวนามยปัญญา มันเป็นจินตนาการ มันเป็นวัตถุเหมือนกัน ถึงว่าสัทธรรมปฏิรูป

สัทธรรมปฏิรูปคือ ปฏิรูปคิดขึ้นมาเอง ความเป็นไปเอง สิ่งที่เป็นไปเองแล้วมันจินตนาการออกมา เวลาคำพูดแปรสภาพ พูดออกมาเป็นคำพูดออกมานี่ มันยิ่งสวยหรูเข้าไปใหญ่ สวยหรูเข้าไป แต่คนรู้จริง คนที่เคยเห็นโทษของดอกไม้กระดาษ โทษของการมักง่าย โทษของการที่ว่าไม่ใคร่ครวญให้มันเป็นจริง นี่ดอกไม้กระดาษ เราจะให้มันแปรสภาพได้อย่างไร ดอกไม้จริงสิมันเหี่ยวเฉาไป มันเน่าไป นี่มันเป็นไตรลักษณ์ให้เห็นเลย มันแปรสภาพให้เห็นไง นี่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วดอกไม้กระดาษมันคงที่อยู่ แต่สวยไง เอาความสวยงาม เอากิเลสเข้าไปเทียบธรรม ถึงเป็นสัทธรรมปฏิรูป

ปฏิรูปหมายถึงว่า ธรรมะต้องเป็นอย่างนั้น ต้องปล่อยวางนะ เมื่อก่อนนั้นเป็นคนที่โมโหมาก เป็นคนขี้โกรธ เป็นคนกินเหล้า แล้วเลิก โอ้...เป็นคนดี ว่าอย่างนั้นนะ เห็นไหม นี่มันเป็นเปลือกๆ ของความคิด กดไว้เฉยๆ แต่ความเป็นจริงอันนั้นมันคิดมาจากหัวใจ โทสัคคินา โมหัคคินา ไฟคือราคะทั้งหมด เวลาโกรธข้างนอกเก็บไว้ได้ ยับยั้งความโกรธข้างนอกไว้ได้ แต่มันไปเผาอยู่ข้างใน เผาสุมอยู่ข้างใน แต่ถ้าเป็นการชำระกิเลส โทสัคคินา โมหัคคินา มันเป็นลูก เป็นนางตัณหา นางอรดี มันเป็นลูกของเจ้าวัฏจักร มันแค่ลูกมันไม่ใช่ตัวกิเลสแท้เลย ตัวกิเลสแท้คือตัวที่ไม่มีอะไรเลย แต่มันมีอยู่ คือตัวอวิชชา ตัวเจ้าวัฏจักร พลังงานที่ออกมา

อาจารย์บอกว่า “กิเลสที่ว่าแผดเผาหัวใจรุนแรงที่สุด คือโทสัคคินา กามราคะ ความหลงใหล” กามราคะกับโทสะมันจะให้ผลรุนแรงมากเลย แต่มันเกิดจากอะไร? มันเกิดจากตัวอวิชชา ตัวพลังงานตัวแรกนี่ ตัวพลังงานตัวแรกนี่มีอยู่ มันเป็นพลังงานเฉยๆ แต่พอมันเผาเข้าไป เผาเข้าไปในเชื้อ ไฟเผาป่า ป่าจะแตกมหาศาล ความร้อนจะเกิดขึ้นมากเลย ความร้อนอันนั้น ความโกรธอันนั้น มันเกิดดับจากที่มีตัวนี้ต่างหาก แล้วไปคุมความโกรธดับ ความโกรธ ความราคะอันนั้น คุมไว้ มันร้อนภายใน มันร้อนในตัวจิตนี้ไง ไอ้ตัวจิตนี้มันร้อนอยู่ แต่มันเป็นไฟสุมขอน ร้อนแบบมองไม่เห็น แต่ถ้าไฟสุมขอนตัวนี้หมด มันจะหมดได้อย่างไรในเมื่อตัวมันเองเป็นตัวกิเลส ตัวมันเองเป็นตัวที่สร้างขึ้นมา เป็นตัวเจ้าวัฏจักร เป็นตัวครอบคลุม ๓ โลกธาตุ นี่ภาวนามยปัญญา มันถึงจะเข้าไปชำระได้จริง ธรรมแท้ๆ มันต้องเป็นแบบนี้

ธรรมแท้ๆ มันต้องสืบต่อก้าวเดินขึ้นไปจากหัวใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทางให้ ชี้ทางให้ดำเนิน แต่สาวกผู้ปฏิบัติทั้งหลายต้องเป็นผู้ปฏิบัติตามขึ้นไป เห็นตามความเป็นจริงแล้วมันถึงจะยอมรับดอกไม้กระดาษไม่ได้ จะเห็นความแยกออกระหว่างรูปธรรมกับนามธรรมชัดเจนมากเลย รูปธรรมนี้มันเป็นเหมือนกับวัตถุเกินไป อาจารย์มหาบัวถึงบอกว่า “ภาชนะที่จะใส่ธรรมคือหัวใจเท่านั้น” หัวใจเท่านั้น ในศาสนาพุทธเราถึงเน้นที่หัวใจ มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา ใจเป็นที่เกิด ใจเป็นประธาน ใจเป็นสรรพสิ่งทุกๆ อย่าง

สูตรวิทยาศาสตร์ สิ่งที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกนี้ เกิดขึ้นมาจากน้ำมือมนุษย์ทั้งหมดเลย น้ำมือมนุษย์นี้เกิดขึ้นจากความดำริ ความคิดของมนุษย์ทั้งหมดเลย ใจมันถึงได้ขับเคลื่อน มนุษย์นี้สร้างสิ่งมหัศจรรย์ของโลกขึ้นมา แต่คนเราไปติดในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ไม่ได้มองว่าสิ่งมหัศจรรย์ของโลกนี้สร้างขึ้นมาจากน้ำมือมนุษย์ มนุษย์มีจินตนาการ จินตมยปัญญาในมนุษย์ แล้วภาวนามยปัญญามันลบจินตนาการทั้งหมด มันถึงสร้างสิ่งที่เป็นมหัศจรรย์เหนือสิ่งใดๆ ในโลกนี้ สิ่งที่เป็นธรรมนั้นเหนือกับสิ่งมหัศจรรย์ในโลก

สิ่งมหัศจรรย์ ๘ อย่างในโลกนี้ ใครๆ ก็อยากว่าเป็นน้ำมือมนุษย์สร้างมา แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมขึ้นมาจากหัวใจ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากหัวใจ จากภายในจากธรรมจริง แต่ท้ายที่สุดแล้วออกมา ถ้าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกก็เป็นพวกเจดีย์ พวกอะไรนี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง อันนี้เป็นวัตถุ แต่หัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีใครเคยเห็น สิ่งมหัศจรรย์เหนือสิ่งมหัศจรรย์ ไม่มีใครจับต้องได้ เว้นไว้แต่พระอัญญาโกณฑัญญะปัญจวัคคีย์เข้าไปเป็นสักขีพยานต่อกันเท่านั้น นี่ผู้เข้าถึงธรรม เห็นธรรมเหมือนกัน ถึงเห็นคุณค่าของสิ่งที่เป็นวัตถุ กับเห็นคุณค่าของสิ่งที่เป็นนามธรรม

ถึงบอกว่าดอกไม้กระดาษกับดอกไม้จริงเปรียบเทียบกัน ถ้าดอกไม้กระดาษเรียงอยู่เต็มเลยนะ เอาดอกไม้จริงเข้าไปแทรกสิ มันก็แปลกประหลาด ดอกไม้กระดาษสวยงามมากเลย แสงสีเป็นทองนะ สกาวแวววับเลย แต่ถ้าเอาดอกไม้จริงเข้าไปตั้งสักอันสองอัน สักแจกันสองแจกันนี่จะสวยมาก จะมีลักษณะแปลกไป แต่ปัจจุบันนี้มันมีแต่ดอกไม้จริงเพราะเราเป็นภาคเกษตร เมืองไทยเป็นภาคเกษตร ดอกไม้จริงมีมากแล้วเป็นสิ่งที่ต้องใช้การเก็บรักษา เห็นไหม กว่ามันจะเจริญงอกงามขึ้นมา มันต้องลงทุนลงแรงไป

โลกกำลังเจริญ เห็นไหม จึงใช้ดอกไม้กระดาษ เพราะว่ามันก๊อบปี้ได้ มันอัดได้ โรงงานสร้างออกมามหาศาลขนาดไหนก็ได้ จนเอามานี่ต้องเอามาเผาทิ้ง ขยะไม่มีที่จะเก็บไงถ้ามันเกินไป แต่ดอกไม้จริงมันยุ่ยสลายลงไป มันเป็นปุ๋ย คิดดู ความเป็นจริงคือว่าสัทธรรมปฏิรูปไง สะเทือนใจกันมากถ้ามองไปอย่างนี้ มองแค่นี้เองแล้วคิดไป คิดตามไป คิดตามไป

อันนี้เป็นวัตถุภายนอกที่คนเริ่มเคลิบเคลิ้มหลงใหลมันแล้ว หลงใหลไปกับสิ่งที่ว่า สะดวก มักง่าย แต่กิเลสความทุกข์มันไม่มักง่ายกับเรา กับความเป็นจริงต้องหยิบ ต้องฉวย ต้องเปลี่ยน ต้องแปลง ต้องแสวงหา ต้องแก้ไขตลอด เพราะอะไร? เพราะชีวิตของคนมันสั้นนัก การแก้ไขกิเลสมันต้องมีจุดการแก้ไขของมัน ชีวิตของคนมันสั้นเกินไป มันจะทำเอาอย่างสะดวกสบายอย่างนั้นไม่ได้ เพราะถ้าสะดวกสบายมันก็เท่ากับสะสมกิเลสไว้ในใจนั้น มันสะสมกิเลสเอาไว้ในใจ มันไม่มีการแก้ไข แต่นี่มีการแก้ไข แก้ไขออกไป มันแก้ไขของมันไปเรื่อยๆ มันถึงจะเป็นไปไง

ความเป็นไปอันนั้นหรอก ความเป็นไป มันถึงว่าธรรมจริงๆ มันอยู่ตรงนี้ พระพุทธเจ้าถึงว่า ภาชนะที่จะใส่ธรรม ภาชนะนะ เราต้องฝึกฝน ภาชนะใส่ธรรมก็คือความเป็นจิตนี้สงบเท่านั้นไง จิตนี้ควรทำให้มันสงบก่อนมันถึงจะสะอาดพอที่จะใส่ธรรมได้ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าศีลมันไม่ดี เอาอะไรมา ถ้าศีลไม่ดี ศีลไม่ดีเหมือนกับภาชนะนั้นสกปรก ภาชนะสกปรก อะไรใส่เข้าไปมันก็เป็นสิ่งสกปรกหมด

ถึงว่าใจดวงนี้ที่จะใส่ธรรม ต้องมีทาน ศีล ภาวนา เข้ามา แต่มองข้ามเลยไง เอาสูตรสำเร็จเลยไง ศีลช่างมัน ทานก็ไม่ต้องทำ จะภาวนาอย่างเดียว จะเอาได้อย่างที่คิด เอาได้แบบสัทธรรมปฏิรูปที่ว่า เดี๋ยวนี้เข้าทางลัด เข้าทางลัด เข้าทางตรง จะเข้าให้ถึงมัน แล้วมันถึงไหม เดินขึ้นไปแล้วจะขาหัก ไปขาหักอยู่อย่างนั้น เดินขึ้นไปแล้วจะไปทุกข์ยากอยู่ตรงกลางคันนั้น มันไปไม่รอดไง พระพุทธเจ้าถึงมาสอนทาน ศีล ภาวนา

อย่ามองข้ามดอกไม้ธรรมชาติ อย่ามองข้ามความเจริญเติบโตจากต้นของมัน แล้วถึงจะเป็นดอก เป็นใบ เป็นผลขึ้นมา แล้วเราเอามาบูชาพระไง เห็นไหม ตัดทิ้งเลย เอากระดาษมาแปะๆๆ เลย แล้วก็เอามาวางไว้เลย นี่คือสิ่งความเจริญ เจริญของโลก ความเจริญของโลกมันให้ผลเป็นโลก ความเจริญของธรรมมันให้ผลเป็นธรรม ความเจริญของธรรมมันถึงจะให้ผลเป็นความสุขความทุกข์ไง

ความสุขความทุกข์อันนี้มันเป็นกิเลส เห็นไหม ทำไมความสุขเป็นกิเลสล่ะ ความทุกข์เป็นกิเลสสิ ความสุขไม่เป็นกิเลส ความสุขก็ทำให้คนติดเนื่องนอนนอนใจได้ สุขด้วยขันธ์ ๕ สุขด้วยเวทนา มันแบ่งแยกสุขกับทุกข์ ความทุกข์หมดไป ความสุขถึงเกิดขึ้น แต่วิมุตติสุขไม่เป็นอย่างนั้น มันไม่สุขในขันธ์ ๕ มันไม่ได้สุขในโลกนี้ไง มันไม่ได้สุขด้วยจินตนาการ มันไม่ได้สุขด้วยว่า อารมณ์ที่เป็นความสุขอย่างนี้ มันถึงเต็มอิ่มของมันตลอดเวลา เหมือนกับน้ำเต็มแก้ว มันเต็มอย่างนั้นตลอดเวลา น้ำครึ่งแก้ว ส่วนบนเป็นอากาศ ส่วนล่างเป็นน้ำ พลิกอันไหนขึ้นล่ะ พลิกอันไหนขึ้นน้ำก็ต้องอยู่ข้างบนตลอด พลิกไปพลิกมา ถ้าน้ำในแก้วนั้นเราทำสุญญากาศขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน สุขกับทุกข์มีค่าเท่ากัน สุขกับทุกข์ในขันธ์มีค่าเท่ากัน สุขคือน้ำบนแก้ว คืออากาศบนน้ำนั้น ทุกข์คือน้ำที่มันต่ำกว่า พลิกไปพลิกมา คือว่ามันแปรสภาพตลอดเวลา มันไม่สุขเที่ยงแท้ มันแปรสภาพอยู่ตลอดเวลา แต่วิมุตติสุขไม่เป็นอย่างนั้น มันไม่มีแก้ว ไม่มีอากาศ ไม่มีน้ำ มันเป็นนามธรรม ถึงว่าธรรมแท้ๆ นี่ไม่ใช่สัทธรรมปฏิรูป มันถึงต้องเข้าถึงตรงนั้น เข้าถึงธรรมที่ว่ามันเป็นอวกาศ อวกาศนี่ก็เป็นวัตถุ นี่มันเป็นความว่าง มันสมมุติทั้งหมด แต่เปรียบเหมือนว่าอากาศกับอวกาศ อากาศมันยังแปรสภาพ ลมมันยังแปรสภาพตลอด อวกาศนั้นมันอยู่บนอวกาศ มันเป็นอวกาศอยู่เฉยๆ เลย

อันนี้ก็เหมือนกัน ข้ามพ้นทั้งสุขอันนี้ไง สุขที่เป็นโลกสมมุติอยู่ สุขกับทุกข์ถึงว่ามันต้องข้ามพ้น ข้ามพ้นไป ข้ามพ้นจากสุขกับทุกข์เป็นวิมุตติสุข วิมุตติสุขนี้มันถึงเป็นธรรมแท้ ขึ้นมาจากฝ่ายนามธรรม แต่อาศัยรูปธรรมเพราะมีกายกับจิต ถ้าไม่มีกายก็ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ไม่ได้พบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนานี้จารลงในพระไตรปิฎก เป็นศาสดาของเรา เป็นธรรมและวินัยที่ศาสดาสอนเรามา นี่ก็เป็นวัตถุเหมือนกัน แต่วัตถุนี้มันเป็นวัตถุที่ว่าตาไปกระทบกับรูปวัตถุ แล้วย่อยสลายมาเป็นนามธรรมเข้ามาภายใน เป็นวิชาการ สุตะ จินตะ ภาวนายะ ภาวนายะเกิดเมื่อไหร่มันก็จบ ภาวนายะไม่เกิด ไม่รู้จริง ต้องภาวนามยปัญญาเกิดขึ้น

แล้วถ้าภาวนามยปัญญาเกิดขึ้น ใครเห็นภาวนามยปัญญาอย่างน้อยต้องโสดาบันขึ้นไป เพราะว่าภาวนามยปัญญาเป็นปัญญาที่แก้กิเลส เป็นธรรมาวุธ เป็นอาวุธสำคัญยิ่งที่เกิดขึ้นจากสมาธิ เกิดขึ้นจากความเพียร เกิดขึ้นจากมรรคนั่นแหละ มัคคะจะต้องครบ มันถึงจะเป็นปัญญา เป็นธรรมาวุธได้ ถ้ามรรคไม่ครบ มันเอียงไง มันเป็นการสะสมขึ้นไป พอสะสมขึ้นไปมันวิปัสสนาขึ้นไป นี้มันเป็นอุปกิเลส ๑๖ มันว่าง มันปล่อย มันสว่างเหมือนกัน แต่มันไม่ขาด ความขาดคือสมุจเฉทปหาน สมุจเฉทปหานนี้คือปัญญาแบบภาวนามยปัญญา มันถึงจะเกิดขึ้นได้ต่อผู้ที่ว่าเห็นจริง รู้จริง แล้วปล่อยจริง

พอปล่อยจริงขึ้นมา มันจะพูดไม่เป็นสัทธรรมปฏิรูป มันจะพูดผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มันเห็นความแง่งอนของมันระหว่างกระดาษกับดอกไม้จริง ดอกไม้จริงเป็นสิ่งมีชีวิต วิวัฒนาการอันนี้มันเจริญขึ้นมาจากใจ มันเห็นคุณค่า กับแปะๆ มานี่คือจำมา แปะมา เลียนแบบมา แล้วเลียนแบบได้สวยกว่า งามกว่า ดีกว่าทุกอย่าง คงทนกว่า รักษาง่าย แต่ไม่เข้าสะเทือนถึงใจ ไม่เข้าสะเทือนถึงธรรมเลย ถ้าเข้าสะเทือนถึงธรรมแล้วมันต้องเป็นสิ่งที่มีชีวิตเหมือนกัน เพราะหัวใจนี้มีชีวิต สิ่งที่มีชีวิตกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต ทุกข์ของผู้มีชีวิตกับก้อนหินที่ตากแดดอยู่มันไม่มีชีวิต มันไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น

ก้อนหินสิ่งก่อสร้างปลูกอยู่ ตากแดดตากฝนมันอยู่ไม่ได้ แต่สิ่งที่มีชีวิตอยู่นี่ มันตากแดดตากฝน มันเจริญงอกงามเพราะมันมีพลังงานในการเจริญเติบโตดำรงชีวิต แต่มันก็หลบหลีกของมันได้ อย่างต้นไม้มันเจริญเติบโต มันงอกงามขึ้นมา แต่ก้อนหินไม่งอกงามนี่นะ ก้อนหินมันก็เป็นก้อนหิน ตากแดดตากฝนอยู่มีแต่สึกกร่อนไป วัตถุมีแต่สึกกร่อนไป แต่สิ่งมีชีวิตเจริญงอกงามขึ้น แต่สิ่งมีชีวิตก็ตาย งอกงามขนาดไหนเวลามันตายไปมันเปลี่ยน วัฏวน เห็นไหม วัฏวนมันถึงวน... (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)